ข่าวทั่วไทย
“ในหลวง” กับคำ “ในกรม” หมายความว่าอย่างไร….คำ ๆ นี้ ประชาชนไทยจดจำไปชั่วนิรันทร์
06:06คำ “ใน” นั้น หมายความตรงข้ามกับคำ “นอก” คำว่า “หลวง” นั้น โดยลำพังคำชั้นเดิมหมายความว่า “ใหญ่โต” ดูเหมือนคำภาษาอังกฤษว่า Great เป็นคุณศัพท์ Adjective สำหรับประกอบกับคำที่เป็นนามศัพท์ ยกตัวอย่างดัง “เขาหลวง” หมายความว่าภูเขาที่ใหญ่กว่าเพื่อน “บางหลวง” หมายความว่าคลองต้นที่ใหญ่ยาวยิ่งกว่าเพื่อน “เมืองหลวง” หมายความว่าเมืองใหญ่ที่เป็นราชธานี “วังหลวง” หมายความว่าวังที่เป็นใหญ่ (อันเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน)
คำ “กรม” นั้น หมายความคนหมู่หนึ่งซึ่งจัดให้มีผู้บังคับบัญชาต่างหาก เช่น “กรมมหาดเล็ก” “กรมช่างสิบหมู่” และ “กรมอาลักษณ์” เป็นต้น คล้ายกับคำ Department หรือ Regiment ในภาษาอังกฤษ แต่ไทยเรียกว่า “กรม” ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ถึงกระทรวงเสนาบดี แต่โบราณก็เรียกว่า “กรม เช่น “กรมเมือง” “กรมวัง” “กรมคลัง” และ “กรมนา” เพิ่งเรียกว่า “กระทรวง” ในรัชกาลที่ 5
แต่ที่เอาคำ “หลวง” ประกอบกับคำ “ใน” เป็นนามศัพท์ เรียก “พระเจ้าแผ่นดิน” และเอาคำ “กรม” ประกอบกับคำ “ใน” เป็นนามศัพท์เรียก “เจ้านาย” ซึ่งมียศเป็นเจ้ากรมต่างหาก เคยเห็นแต่ในหนังสือแต่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้
มูลที่เกิดคำ “ในหลวง” และ “ในกรม” มีเงื่อนอยู่ในพงศาวดารพอจะคิดวินิจฉัยได้บ้าง
จะกล่าวอธิบายคำ “ในหลวง” ก่อน
ดูเหมือนมูลจะมาแต่วิธีปกครองของไทยตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เอาสกุล Family เป็นหน่วย เรียกว่า “ครัว” อันเป็นที่ทำอาหารมาเรียก ก็พอคิดเห็นได้ คงเป็นเพราะแต่ละสกุลมากบ้างน้อยบ้างเอาเป็นกำหนดยาก แต่สกุล 1 คงต้องมีเรือนครัวไฟหลังหนึ่งสำหรับทำอาหารกินด้วยกัน จึงเอาครัวเป็นหน่วยด้วยประการฉะนี้ ก็การปกครองสกุลหรือครัว พ่อย่อมปกครองเป็นธรรมดา จึงเรียกผู้ปกครองขั้นต้นว่า “พ่อครัว” (คนภายหลังเอาคำพ่อครัวไปเรียกหัวหน้าพนักงานทำอาหาร Cook นั้นเป็นด้วยเข้าใจผิด)
ต่อมาถึงขั้นที่ 2 อาศัยเหตุที่สกุลต่างๆ อันตั้งบ้านเรือนอยู่ในท้องที่อันเดียวกัน มักเป็นญาติพี่น้องเกี่ยวดองกัน จึงให้พ่อครัวคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปกครองสกุลทั้งหลาย รวมกันเรียกว่า “พ่อบ้าน”
ต่อมาอีกขั้น 1 หลายบ้านเช่นนั้นรวมกันเป็น “เมือง” มีกำหนดที่แผ่นดินเป็นอาณาเขตปกครองคั่นต้น (ในเอกสารต้นฉบับสะกดตามที่ให้ไว้ว่า คั่นต้น) เรียกผู้ปกครองว่า “พ่อเมือง” คงเป็นคนเกิดในเมืองนั้นเอง
แต่เมืองชั้นนี้เป็นเมืองน้อย ต้องขึ้นต่อเมืองใหญ่ต่อขึ้นไป จึงเรียกกันว่า “เมืองขึ้น”ต่อไปอีกขั้น 1 ถึงเมืองใหญ่ จะเรียกว่า “เมืองออก” หรืออย่างไรไม่ทราบแน่ แต่พระเจ้าแผ่นดินให้มีผู้มาอยู่ปกครอง ผู้ปกครองนั้นเรียกว่า “ขุน” เช่น ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด ได้บังคับบัญชาเหล่าเมืองน้อยที่เป็นเมืองขึ้นอย่างประเทศราชขึ้นต่อเมืองหลวง
ต่อขึ้นไปก็ถึงเมืองหลวงที่พระเจ้าแผ่นดินปกครอง เดิมเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า “พ่อขุน” เช่น พ่อขุนรามคำแหง
เหตุใดจึงเลิกใช้คำว่าพ่อขุน ก็ดูเหมือนจะพอคิดได้ ด้วยคำว่า พ่อขุน หมายความว่า “เป็นใหญ่ในสกุล” หรือถ้าว่าอีกอย่างหนึ่งเป็นแต่ไทยด้วยกัน เมื่อขยายราชอาณาเขตออกไปปกครองถึงบ้านเมืองของชนชาติอื่นๆ มีพระเกียรติยศสูงกว่าพ่อขุน น่าสันนิษฐานว่าจะใช้คำ “ขุนหลวง” หมายความเป็นขุนใหญ่กว่าขุนอื่นทุกชาติทุกภาษา คือ “ราชาธิราช” ก็เป็นได้
แต่ไม่พบใช้คำ “ขุนหลวง” ในจารึกสุโขทัย ก็ไม่กล้ายืนยันว่าคำนี้ จะเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย เพราะเหตุนั้นแต่เมื่อถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา คำที่คนพูดกันเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า “ขุนหลวง” ถ้าคำนั้นเกิดขึ้นสมัยสุโขทัย อาจจะเอาใช้ในกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อรวมเมืองเหนือกับเมืองใต้เข้าเป็นอันเดียวกันก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า “ขุนหลวง” กันแพร่หลายมาจนตลอดสมัย เรียกพระเจ้าแผ่นดินที่ยังเสวยราชย์อยู่ว่า “ขุนหลวง” เรียกพระเจ้าแผ่นดินที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยเอาคำอื่นประกอบเข้าข้างท้ายให้รู้ว่าองค์ไหน เช่น เรียกว่า “ขุนหลวงเสือ” “ขุนหลวงท้ายสระ” “ขุนหลวงบรมโกศ” “ขุนหลวงหาวัด” และ “ขุนหลวงพระที่นั่งสุริยามรินทร” แม้พระเจ้ากรุงธนบุรีก็เรียกกันว่า “ขุนหลวงตาก” เป็นที่สุด
คำนี้มีอยู่ในตำรากระบวนเสด็จประพาส ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้ประชุมข้าราชการครั้งกรุงศรีอยุธยา 20 คน ประชุมกันแต่งขึ้น (หอพระสมุดฯ พิมพ์ไว้ในหนังสือลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ 19) ในตำรานั้นเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า “ของหลวง” เช่นว่า “ปลูกพลับพลารับเสด็จของหลวง” ดังนี้ เห็นจะใช้เรียกกันมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว
คำว่า “ในหลวง” ก็อยู่ในคำพวกเดียวกัน เห็นจะมาแต่ “ในวังขุนหลวง” หรือ “ในกิจการของขุนหลวง” แล้วก็เลยเรียกหมายความต่อไปถึงพระองค์พระเจ้าแผ่นดินตามสะดวกปากว่า “ในหลวง” อย่างเดียวกับคำว่า “ของหลวง”
แต่สังเกตเห็นใน “หนังสือลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ 19″ ซึ่งกล่าวมาแล้วอย่างหนึ่ง ที่ใช้คำเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า ‘ของหลวง” มีแต่ในตำราที่แต่งครั้งกรุงธนบุรี ถึงตำราที่แต่งในรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์ ใช้คำว่า “ในหลวง” ทั้งนั้น หาใช้คำของหลวงไม่ อาจจะเป็นเพราะสั่งให้เลิกใช้คำ “ของหลวง” และใช้คำ “ในหลวง” แทนเมื่อสมัยนั้นก็เป็นได้
ทีมา http://www.naarn.com/9994/
0 comments